ต้องห้ามฎีกาเพราะไม่ได้อุทธรณ์ไว้

ต้องห้ามฎีกาเพราะไม่ได้อุทธรณ์ไว้
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชิงทรัพย์ ยกฟ้องจำเลยที่ 3 จำเลยทั้งสามมิได้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชิงทรัพย์ คดีนี้โจทก์อุทธรณ์ฝ่ายเดียวศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ สำหรับจำเลยที่ 1 พิพากษาแก้เฉพาะบทจากความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นปล้นทรัพย์ แต่มิได้แก้ไขโทษ จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย แต่ข้อเท็จจริงสำหรับจำเลยที่ 1 ที่มิได้อุทธรณ์ยุติแล้วจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแม้จะลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เกินห้าปีก็ตามเพราะ มิได้เคยยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4268/2552

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดด้วย ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายตามฟ้อง จำเลยทั้งสามมิได้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้เสียหายจึงเป็นอันยุติ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ด้วยและพิพากษาแก้เฉพาะบทจากความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นปล้นทรัพย์ มิได้แก้ไขโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เกินห้าปี แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคสอง แต่จำเลยที่ 1 คงมีสิทธิฎีกาได้เฉพาะในปัญหาว่าจำเลยที่ 3 มิได้ร่วมกระทำความผิดด้วยอันจะทำให้การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์เท่านั้น จำเลยที่ 1 จะหวนกลับมาใช้สิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้เสียหายอีกไม่ได้ ดังนั้นที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานทำร้ายร่างกาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา มี พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ.2550 ใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 4 บัญญัติให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่างๆ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้นๆ เมื่อจำเลยที่ 1 พ้นโทษในความผิดที่โจทก์อาศัยเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ จำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ได้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 92, 340 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้เงิน 300 บาท แก่ผู้เสียหาย เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 กับบวกโทษจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 436/2544 เข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ และบวกโทษของจำเลยที่ 2 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1197/2545 เข้ากับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษและเพิ่มโทษ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 10 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 อีกหนึ่งในสามเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 13 ปี 4 เดือน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันคืนเงิน 300 บาท แก่ผู้เสียหาย คำขออื่นให้ยกและให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3
โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก จำคุกคนละ 10 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 13 ปี 4 เดือน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน 300 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 3 มิได้ร่วมกระทำความผิดด้วย จึงพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 10 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสามเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 13 ปี 4 เดือน และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกระทำความผิดด้วย ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายตามฟ้อง จำเลยทั้งสามมิได้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้เสียหายจึงเป็นอันยุติ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดด้วย และพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 10 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสาม เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 13 ปี 4 เดือน แม้คดีของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะพิพากษาแก้เฉพาะบทจากความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นปล้นทรัพย์ แต่มิได้แก้ไขโทษ จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เกินห้าปี จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคสอง ก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 คงมีสิทธิฎีกาได้เพียงเฉพาะในปัญหาว่าจำเลยที่ 3 มิได้ร่วมกระทำความผิดด้วยอันจะทำให้การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้องเท่านั้น จำเลยที่ 1 จะหวนกลับมาใช้สิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้เสียหายอีกไม่ได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป เนื่องจากพยานบุคคลความขัดแย้งกันของโจทก์เบิกความขัดแย้งกับพยานเอกสาร พยานเอกสารขัดแย้งกันเอง และพยานบุคคลของโจทก์เบิกความขัดแย้งกันในสาระสำคัญ กับกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานจับกุมโดยไม่ชอบ สอบสวนโดยทุจริต และบังคับและทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาให้ลงชื่อในเอกสาร ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานทำร้ายร่างกายซึ่งเท่ากับโต้แย้งว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมชิงทรัพย์ด้วย นั้น ล้วนเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 มิได้เคยยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทั้งสิ้น ซึ่งต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ฎีกา ตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้

อนึ่ง ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ. 2550 ใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ๆ เมื่อคดีนี้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 พ้นโทษฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1411/2542 ของศาลจังหวัดปทุมธานีไปก่อนวันที่ 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ จำเลยที่ 1 จึงได้รับประโยชน์ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยถูกลงโทษในความผิดนั้นมาก่อน จึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ได้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 และพิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

( ธานิศ เกศวพิทักษ์ - บุญส่ง โพธิ์พุทธชัย - สิงห์พล ละอองมณี )
ศาลจังหวัดธัญบุรี - นายสามารถ อาจณรงค์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายวัชรินทร์ ปัจเจกวิญญูสกุล
ป.วิ.อ. มาตรา 15, 195 วรรคสอง, 218 วรรคสอง, 225
ป.อ. มาตรา 83, 339 วรรคสอง, 340 วรรคหนึ่ง
ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ.2550 มาตรา 4

ทนายความประชาชน
ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศฯ (ช ป.ท.)
hello! I am an admin of the People's Lawyer - Free Legal Consultation Club Nationwide (Chor.Por.T.A.) giving advice - like a relative - free of charge, call or add Line 089 214 2456
สวัสดี! ฉันเป็นแอดมินของทนายความประชาชน - ชมรมปรึกษาคดีฟรีทั่วประเทศฯ (ช.ป.ท.) ให้คำปรึกษา- ดุจญาติมิตร - ไม่คิดค่าใช้จ่าย โทร.หรือ แอดไลน์ 089 214 2456


X
STILL NOT SURE WHAT TO DO?
We are glad that you preferred to contact us. Please fill our short form and one of our friendly team members will contact you back.
Form is not available. Please visit our contact page.
X
CONTACT US