เป็นการแก้ไขเล็กน้อยห้ามฎีกา

เป็นการแก้ไขเล็กน้อยห้ามฎีกา
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยจำเลย 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 4 เดือน แก้โทษของความผิด ต้องถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยละคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3300/2552

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 297, 364, 365 (1) (2) ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 297 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานบุกรุก ให้ยกฟ้องในความผิดฐานนี้ และพิพากษาลดโทษจำเลยที่ 1 ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส คงจำคุก 4 เดือน จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แก้โทษของความผิดในบทหนักอันเป็นบทที่ศาลชั้นต้นลงโทษแม้จะยกฟ้องความผิดในบทที่เบากว่า ก็ต้องถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและคงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาพอฟังว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานบุกรุกเป็นการโต้แย้งดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว


โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 297, 364, 365

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297, 364, 365 (1) (2) ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสจำคุกคนละ 6 เดือน

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365 (1) (2) ประกอบมาตรา 83 สำหรับจำเลยที่ 1 และลดโทษฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297, 364, 365 (1) (2) ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 297 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานบุกรุก ให้ยกฟ้องในความผิดฐานนี้ และพิพากษาลดโทษจำเลยที่ 1 ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส คงจำคุก 4 เดือน จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แก้โทษของความผิดในบทหนักอันเป็นบทที่ศาลชั้นต้นลงโทษ แม้จะยกฟ้องความผิดในบทที่เบากว่า ก็ต้องถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและคงให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 1 ว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาพอฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานบุกรุกนั้นก็เป็นการโต้แย้งดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงย่อมต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานบุกรุก และฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสหรือไม่ เห็นควรวินิจฉัยปัญหาข้อแรกก่อนว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดฐานบุกรุกหรือไม่ ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความเป็นพยานโจทก์ได้ความว่า ขณะผู้เสียหายทั้งสองกวนทุเรียนอยู่ในบ้านของผู้เสียหายทั้งสอง มีนายเล็ก ไม่ทราบนามสกุล มาเคาะประตูเรียกให้เปิดประตู เมื่อผู้เสียหายที่ 1 เปิดประตูให้ นายเล็กได้เข้ามาล็อกคอผู้เสียหายที่ 2 ลากตัวผู้เสียหายที่ 2 ออกนอกบ้านพร้อมกับร้องเรียกจำเลยที่ 1 จากนั้นจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายเอกชัยบุตรของจำเลยทั้งสองซึ่งอยู่ในบ้านของจำเลยทั้งสองวิ่งออกจากบ้านมายังผู้เสียหายที่ 2 และร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 จนสิ้นสติไป คำเบิกความดังกล่าวต่างจากคำเบิกความของจำเลยทั้งสอง ที่เบิกความเป็นพยานจำเลยว่าก่อนจะเกิดเหตุทำร้าย ผู้เสียหายที่ 2 ได้ยืนด่าว่าจำเลยทั้งสองอยู่ที่หน้าบ้านของผู้เสียหายทั้งสอง ด่าจำเลยที่ 1 ว่าหน้าตัวเมีย และว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ 1 คบชู้ จำเลยที่ 1 จึงชกต่อยทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 เห็นว่า คู่ความทั้งสองฝ่ายต่างมีคำเบิกความแย้งกัน อย่างไรก็ตามได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสองว่า ที่นายเล็กมาเคาะประตูก็เพียงเพื่อจะชวนผู้เสียหายที่ 2 ไปร่วมดื่มสุรา ซึ่งผู้เสียหายที่ 2 ไม่อยากไป หากด้วยเหตุเท่านี้ ก็ไม่น่าที่จะทำให้ถึงกับต้องทำร้ายร่างกายกัน จึงมีเหตุน่าเชื่อว่าข้อเท็จจริงน่าจะเป็นตามที่จำเลยทั้งสองเบิกความ ซึ่งจำเลยทั้งสองก็มีนายผิวพี่ของผู้เสียหายที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถือได้ว่าเป็นพยานคนกลางมาเบิกความสอดคล้องกับจำเลยทั้งสองว่า ก่อนทำร้ายร่างกายกันได้ยินเสียงทะเลาะกันเนื่องจากผู้เสียหายที่ 2 และจำเลยที่ 1 ต่างเมาสุรา จึงฟังว่าเหตุเกิดขึ้นบนที่ดินนอกตัวบ้านของผู้เสียหายทั้งสอง ซึ่งเป็นที่ดินที่ผู้เสียหายที่ 1 และจำเลยที่ 2 รับมรดกเป็นเจ้าของร่วมกัน แต่ละฝ่ายมีสิทธิใช้ร่วมกัน จำเลยที่ 2 จึงยังไม่มีความผิดฐานร่วมกับพวกบุกรุก ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น...

พิพากษายืน.

( สนอง เล่าศรีวรกต - ศุภชัย สมเจริญ - เฉลิมเกียรติ ชาญศิลป์ )
ศาลชั้นต้น - นายประสงค์ บุญวิจิตร์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 - นายสมศักดิ์ คุณเลิศกิจ
ป.วิ.อ. มาตรา 218

ทนายความประชาชน
ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศฯ (ช ป.ท.)
hello! I am an admin of the People's Lawyer - Free Legal Consultation Club Nationwide (Chor.Por.T.A.) giving advice - like a relative - free of charge, call or add Line 089 214 2456
สวัสดี! ฉันเป็นแอดมินของทนายความประชาชน - ชมรมปรึกษาคดีฟรีทั่วประเทศฯ (ช.ป.ท.) ให้คำปรึกษา- ดุจญาติมิตร - ไม่คิดค่าใช้จ่าย โทร.หรือ แอดไลน์ 089 214 2456


X
STILL NOT SURE WHAT TO DO?
We are glad that you preferred to contact us. Please fill our short form and one of our friendly team members will contact you back.
Form is not available. Please visit our contact page.
X
CONTACT US