ถือไม่ได้ว่าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งนายจ้าง

เพื่อความเหมาะสมในการจัดการและบริหารกิจการของนายจ้าง นายจ้างจึงมีสิทธิที่จะย้ายลูกจ้างไปทำงานในสาขาอื่นเพื่อหมุนเวียนการทำงานของพนักงานของนายจ้างและเพื่อประสิทธิผลของกิจการของนายจ้าง แต่นายจ้างจะย้ายลูกจ้างซึ่งมีรายได้น้อยให้ไปทำงานที่สำนักงานสาขาอื่นของนายจ้างที่ห่างจากสถานที่สำนักงานเดิมถึง 120  กิโลเมตร โดยไม่ได้จัดที่พักหรือรถรับส่งลูกจ้างในการเดินทางไปทำงาน ตลอดจนไม่สามารถเบิกค่าเช่าบ้านได้ คำสั่งย้ายของนายจ้างดังกล่าวเป็นการเพิ่มภาระให้กับลูกจ้างและลูกจ้างได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก จึงเป็นการยากที่ลูกจ้างจะปฏิบัติตามคำสั่งย้ายนั้นได้ ถือไม่ได้ว่าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งของนายจ้าง

                       คำพิพากษาศาลฎีกาที่  166 - 167/2546

          แม้สิทธิในการย้ายตำแหน่งหน้าที่การงานของลูกจ้าง บริษัทจำเลยในฐานะนายจ้างสามารถกระทำได้ตามความเหมาะสมเพราะเป็นอำนาจในการบริหารจัดการภายในองค์กรของจำเลยก็ตาม แต่การที่จำเลยมีคำสั่งย้ายโจทก์ทั้งสองซึ่งมีรายได้น้อยให้ไปทำงานในโรงงานที่ห่างจากสถานที่ทำงานเดิมถึง 120 กิโลเมตร โดยไม่จัดที่พักหรือหารถรับส่งในการไปทำงานให้ อีกทั้งโจทก์ทั้งสองไม่สามารถเบิกค่าเช่าบ้านได้คำสั่งของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายและก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่โจทก์ทั้งสองอย่างยิ่ง ยากที่โจทก์ทั้งสองจะปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยได้ จึงมีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสอง คำสั่งของจำเลยดังกล่าวแม้จะชอบด้วยกฎหมายแต่ก็เป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม ฉะนั้น การที่โจทก์ทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยจึงยังถือไม่ได้ว่าจงใจขัดคำสั่งของจำเลยและละทิ้งหน้าที่และแม้คำสั่งของจำเลยจะไม่เป็นธรรม แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ออกคำสั่งย้ายโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ทั้งสองทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยปริยาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้ จำเลยยังไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง แต่เพิ่งมีคำสั่งเลิกจ้างหลังจากมีการฟ้องคดีนี้แล้ว ฉะนั้น ขณะที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้จึงยังไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายในเรื่องที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหานี้แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอ้างในอุทธรณ์ แต่อำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้

          คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางรวมพิจารณาเข้าด้วยกันโดยเรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2

          โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เข้าทำงานกับบริษัทยูไนเต็ดแฟตแอนด์ออยล์ จำกัดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2536 ตำแหน่งพนักงานฝ่ายขายต่างจังหวัด ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 5,946 บาท โจทก์ที่ 2 เข้าทำงานกับบริษัทยูไนเต็ดแฟตแอนดออยล์ จำกัด ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2538 ตำแหน่งพนักงานขับรถฝ่ายขายต่างจังหวัด ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 5,771 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างสำหรับโจทก์ที่ 2 ทุกวันที่ 1 และ 15ของเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2541 บริษัทยูไนเต็ดแฟตแอนด์ออยล์ จำกัดได้ขยายกิจการไปเปิดโรงงานผลิตและจำหน่ายสินค้าที่อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรีในนามจำเลย โจทก์ทั้งสองจึงโอนมาเป็นลูกจ้างจำเลย จำเลยตกลงจะจัดรถรับส่งพนักงาน แต่เมื่อย้ายสถานประกอบกิจการจริงกลับไม่มีรถรับส่ง ทำให้โจทก์ทั้งสองต้องประสบความยากลำบากหากต้องไปทำงานที่จังหวัดเพชรบุรี การโอนมาเป็นลูกจ้างจำเลยได้มีการเปลี่ยนหน้าที่โจทก์ที่ 1 เป็นหน้าที่เพื่อพัฒนาจัดส่ง โจทก์ที่ 2 เป็นหน้าที่เพื่อนำรถไปบริการจัดส่งสินค้าที่คลังสินค้า ทำให้โจทก์ทั้งสองต้องขาดรายได้ในส่วนเบี้ยเลี้ยงและค่าคอมมิชชั่นอันเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง พฤติกรรมเช่นนี้จำเลยกระทำเพื่อบีบให้โจทก์ทั้งสองลาออก โจทก์ทั้งสองได้แจ้งให้จำเลยทราบถึงความยากลำบากแล้ว จำเลยเพิกเฉย โจทก์ที่ 2 เคยออกนอกบริษัทจำเลยได้เพื่อความคล่องตัวในการติดต่อกับลูกค้าในตำแหน่งพนักงานขาย จำเลยกลับหาว่าโจทก์ที่ 2 ละทิ้งหน้าที่โจทก์ทั้งสองถือว่าพฤติการณ์ของจำเลยเป็นการเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน2543 และเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 ตั้งแต่วันที่ศาลแรงงานกลางนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ จำเลยยังไม่จ่ายค่าจ้างของวันที่ 1 ถึง 11 กันยายน 2543 เป็นเงิน 2,180.20 บาทให้โจทก์ที่ 1 และจำเลยไม่ได้บอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 6,540.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าจ้างค้างจำนวน 2,180.20 บาทค่าชดเชยจำนวน 47,568 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ที่ 1 ให้จำเลยให้โจทก์ที่ 2 ทำงานในตำแหน่งและสถานที่ทำงานเดิม มิฉะนั้นให้จ่ายค่าชดเชยจำนวน 34,626 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ และจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน5,386.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ที่ 2

          จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2536 และวันที่ 4 กรกฎาคม 2538 ตามลำดับ โจทก์ทั้งสองได้รับค่าจ้างครั้งหลังสุดเมื่องวดวันที่15 กันยายน 2543 โจทก์ทั้งสองเคยทำงานอยู่หน่วยงานฝ่ายขาย ต่อมาขายสินค้าไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ติดต่อกันหลายเดือน จำเลยจึงย้ายโจทก์ทั้งสองมาทำงานในหน้าที่พัฒนาจัดส่งและบริการจัดส่งสินค้าตามลำดับ แต่โจทก์ทั้งสองฝ่าฝืนคำสั่งไม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานใหม่ การย้ายโจทก์ทั้งสองเป็นการหมุนเวียนหน้าที่ตามปกติ เป็นงานในระดับเดียวกัน ตำแหน่งไม่ต่ำกว่าเดิม ค่าจ้างเท่าเดิม โจทก์ทั้งสองและจำเลยไม่มีสัญญาหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จำกัดสิทธิการโยกย้ายหน้าที่ของนายจ้างไว้ การย้ายโจทก์ทั้งสองจึงมีความจำเป็นและเป็นธรรมแล้ว จำเลยไม่สามารถย้ายโจทก์ที่ 2 กลับมาทำงานในตำแหน่งเดิมและสภาพการจ้างเดิมได้ ไม่ใช่การกลั่นแกล้งเพื่อให้โจทก์ทั้งสองลาออก ฟ้องโจทก์ทั้งสองเคลือบคลุม กล่าวคือ โจทก์ที่ 1 ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 อย่างไรตั้งแต่เมื่อใด จำเลยไม่อาจเข้าใจและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง โจทก์ที่ 2 บรรยายสภาพแห่งข้อหาเป็นสองสถานคือหาว่าจำเลยโยกย้ายตำแหน่งสถานหนึ่ง กับหาว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 2 ขัดแย้งกัน ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่เคลือบคลุม จำเลยมีสำนักงานอยู่ที่เลขที่ 14/1 หมู่ที่ 4 ซอยสุขสวัสดิ์ 62 เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานครต่อมาจำเลยขยายโรงงานผลิตและจำหน่ายสินค้าไปที่เลขที่ 66 หมู่ที่ 2 ตำบลห้วยท่าช้างอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งห่างจากกรุงเทพมหานคร 120 กิโลเมตร จำเลยสั่งย้ายโจทก์ทั้งสองจากที่ทำงานที่กรุงเทพมหานครให้ไปทำงานที่โรงงานจังหวัดเพชรบุรี โดยไม่มีที่พัก เบิกค่าเช่าบ้านไม่ได้ ไม่มีรถรับส่ง เป็นการก่อภาระให้โจทก์ทั้งสองมากเกินไป เป็นการบีบบังคับให้โจทก์ทั้งสองต้องลาออก คำสั่งย้ายโจทก์ทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์ทั้งสองไม่จำต้องปฏิบัติตาม การกระทำของจำเลยถือเป็นการเลิกจ้างโดยปริยายโดยโจทก์ทั้งสองไม่มีความผิด จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ทั้งสองสิ้นสุดการทำงานในวันที่ 29 กันยายน 2543 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองในวันที่ 29 กันยายน 2543 อันเป็นวันหลังจากโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีแล้วและเป็นเรื่องนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ศาลแรงงานกลางเห็นสมควรให้ถือว่าวันที่ 29 กันยายน 2543 เป็นวันเลิกจ้างเพื่อความเป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 52 ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 15 โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าคนละ 16 วัน เห็นสมควรกำหนดให้โจทก์ทั้งสองได้รับดอกเบี้ยนับแต่วันที่ถูกเลิกจ้าง โจทก์ที่ 2 พิพาทกับจำเลย ยากที่จะทำงานร่วมกันได้ต่อไป จึงเห็นสมควรให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแทนการให้โจทก์ที่ 2 กลับเข้าทำงาน พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 47,568 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 3,171 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ค่าชดเชยจำนวน 34,626 บาทสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 3,077 บาท แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามลำดับนับตั้งแต่วันที่ถูกเลิกจ้าง (วันที่ 29 กันยายน 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์ทั้งสองเสร็จสิ้น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

          จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
          ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า "มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่าการที่จำเลยมีคำสั่งย้ายโจทก์ทั้งสองไปทำงานที่โรงงานผลิตและจำหน่ายสินค้าที่อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เป็นการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยปริยายหรือไม่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนที่จำเลยจะมีคำสั่งย้ายโจทก์ทั้งสองไปทำงานที่โรงงานผลิตและจำหน่ายสินค้าที่อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี นั้น โจทก์ทั้งสองทำงานอยู่ที่สำนักงานของจำเลยซึ่งอยู่ที่ถนนสุขสวัสดิ์ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานครโจทก์ทั้งสองได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 5,946 บาท และ 5,771 บาท ตามลำดับโรงงานผลิตและจำหน่ายสินค้าที่อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ของจำเลยอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร 120 กิโลเมตร ไม่มีที่พักให้แก่พนักงาน เดิมเคยมีรถรับส่งพนักงานจากสำนักงานที่ถนนสุขสวัสดิ์ไปที่อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี แต่ปัจจุบันไม่มี และโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้สิทธิในการย้ายตำแหน่งหน้าที่การงานพนักงาน (ลูกจ้าง) ของจำเลยซึ่งโดยปกติแล้วจำเลยในฐานะนายจ้างสามารถกระทำได้ตามความเหมาะสมเพราะเป็นอำนาจในการบริหารจัดการภายในองค์กรของจำเลยก็ตาม แต่การที่จำเลยมีคำสั่งย้ายโจทก์ทั้งสองซึ่งมีรายได้น้อยให้ไปทำงานที่โรงงานผลิตและจำหน่ายสินค้าที่อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ห่างจากสถานที่ทำงานเดิมถึง 120 กิโลเมตร โดยจำเลยไม่จัดที่พักหรือจัดหารถรับส่งในการไปทำงานให้อีกทั้งโจทก์ทั้งสองก็ไม่สามารถเบิกค่าเช่าบ้านได้ คำสั่งของจำเลยดังกล่าวเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายและก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่โจทก์ทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง ยากที่โจทก์ทั้งสองซึ่งมีรายได้น้อยอยู่แล้วจะปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยได้ จึงมีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสอง คำสั่งของจำเลยดังกล่าวแม้จะชอบด้วยกฎหมายแต่เป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม การที่โจทก์ทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองจงใจขัดคำสั่งของจำเลยและละทิ้งหน้าที่ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง และแม้คำสั่งของจำเลยจะเป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม แต่ข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏอย่างชัดแจ้งว่าจำเลยได้ออกคำสั่งย้ายดังกล่าวโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ทั้งสองทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยปริยายตามที่โจทก์ทั้งสองอ้างในฟ้อง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้ (วันที่ 12 และ13 กันยายน 2543) จำเลยยังไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง จำเลยเพิ่งจะมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2543 ฉะนั้นขณะที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้จึงยังไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายเรื่องที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง แม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในอุทธรณ์ก็ตาม แต่อำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้"
          พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง

( ปัญญา สุทธิบดี - พันธาวุธ ปาณิกบุตร - จรัส พวงมณี )
ป.พ.พ. มาตรา 575, 583
ป.วิ.พ. มาตรา 55, 142(5)
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31

ทนายความประชาชน
ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศฯ (ช ป.ท.)
hello! I am an admin of the People's Lawyer - Free Legal Consultation Club Nationwide (Chor.Por.T.A.) giving advice - like a relative - free of charge, call or add Line 089 214 2456
สวัสดี! ฉันเป็นแอดมินของทนายความประชาชน - ชมรมปรึกษาคดีฟรีทั่วประเทศฯ (ช.ป.ท.) ให้คำปรึกษา- ดุจญาติมิตร - ไม่คิดค่าใช้จ่าย โทร.หรือ แอดไลน์ 089 214 2456


X
STILL NOT SURE WHAT TO DO?
We are glad that you preferred to contact us. Please fill our short form and one of our friendly team members will contact you back.
Form is not available. Please visit our contact page.
X
CONTACT US