ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า

ในคดีร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในลักษณะเป็นการโทรมหญิง คำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนกับคำเบิกความของผู้เสียหายในศาลจะมีความแตกต่างกันก็ตาม และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 จะบัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่าแต่กฎหมายก็บัญญัติข้อยกเว้นไว้คือตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้นน่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดแต่เหตุที่ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าเป็นเพราะความโกรธนั้น ข้อกล่าวอ้างของผู้เสียหายจึงส่อพิรุธและทำให้คำเบิกความของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4562/2553

พนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชร โจทก์

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย หลังเกิดเหตุผู้เสียหายไปแจ้งความและพาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับ อ. และ ว. ได้ที่บ้านเกิดเหตุ อ. และ ว. ให้การรับสารภาพตรงกันกับที่ผู้เสียหายแจ้งความว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วย จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและจำเลยที่ 3 ยังให้การต่ออีกว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งคำให้การของจำเลยที่ 3 ไม่ได้มีลักษณะปัดความรับผิดให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 อันอาจทำให้น่าระแวงสงสัยแต่อย่างใด คำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ยังมีรายละเอียดสอดคล้องรับกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย ส่วนจำเลยที่ 2 เองแม้จะให้การปฏิเสธ แต่ก็ยอมรับว่าพวกของจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งรับกันกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเช่นเดียวกัน ดังนั้น แม้คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและของจำเลยที่ 1 และที่ 3 จะเป็นพยานบอกเล่า แต่ตามสภาพลักษณะแหล่งที่มาและข้อเท็จจริงแวดล้อมข้างต้น เมื่อรับฟังประกอบกันแล้วมีเหตุผลเชื่อมโยงสนับสนุนกันเป็นลำดับ จึงเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 และน่าเชื่อว่าเป็นความจริง

ส่วนที่ผู้เสียหายเบิกความว่า เหตุที่ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าเป็นเพราะความโกรธนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายเคยกล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวมาก่อน ทั้งยังไปเบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ยืนยันว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย การที่ผู้เสียหายเพิ่งยกเรื่องที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำความผิด น่าเชื่อว่าสืบเนื่องมาจากผู้เสียหายได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากมารดาจำเลยที่ 1 และจากบิดาจำเลยที่ 2 จนเป็นที่พอใจแล้ว ข้ออ้างดังกล่าวของผู้เสียหายจึงส่อพิรุธ

ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่า บันทึกคำให้การของ อ. และ ว. ที่ถูกฟ้องไปก่อนในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 เป็นพยานบอกเล่าซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีโอกาสถามค้านนั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 สามารถอ้างและนำสืบ อ. และ ว. เป็นพยานของตนได้ ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีเหตุผลให้รับฟัง
________________________________
คดีนี้ เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 591/2547 แต่คดีดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 276 บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4502/2545 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยที่ 3

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 ขณะกระทำความผิด จำเลยที่ 3 อายุ 17 ปีเศษ ไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีกำหนดคนละ 16 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 10 ปี 8 เดือน คำให้การชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และข้อนำสืบชั้นพิจารณาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละหนึ่งในสาม และลดโทษให้จำเลยที่ 3 กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีกำหนดคนละ 10 ปี 8 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 5 ปี 4 เดือน บวกโทษจำคุก 3 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4502/2545 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยที่ 3 เป็นจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 5 ปี 7 เดือน

จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 3 นายสิทธิรัตน์ พลทหารอภิชลและนายวีระบุตรหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายเบิกความในทำนองว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด แต่ปรากฏว่าหลังเกิดเหตุผู้เสียหายไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า ถูกชายประมาณหกคนข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง และผู้เสียหายได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมพลทหารอภิชลและนายวีระบุตรได้ที่บ้านที่เกิดเหตุในคืนนั้นซึ่งพันตำรวจตรีสุทินพนักงานสอบสวนพยานโจทก์ก็เบิกความยืนยันในข้อนี้ และเมื่อพันตำรวจตรีสุทินสอบปากคำพลทหารอภิชลและนายวีระบุตร โดยแจ้งข้อหาว่าร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง พลทหารอภิชลและนายวีระบุตรให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ของศาลชั้นต้นซึ่งตรงกันกับที่ผู้เสียหายไปแจ้งความ และนายวีระบุตรยังให้การด้วยว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วย ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายก็ให้การถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อพันตำรวจตรีสุทินตามบันทึกคำให้การคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ของศาลชั้นต้นว่า ขณะผู้เสียหายเดินไปที่ประตูหน้าบ้านที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ใช้มือปิดปาก กอดเอวและพาผู้เสียหายเข้าไปในห้องนอน จากนั้นผลักผู้เสียหายนอนลงและใช้มือตบหน้าพร้อมข่มขู่ไม่ให้ดิ้น ช่วงนั้นมีคนเข้าช่วยจับมือและถอดกางเกงผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนแรก หลังจากนั้นนายสิทธิรัตน์ พลทหารอภิชล จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 และนายวีระบุตรผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยนายวีระบุตรได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในห้องน้ำ เมื่อนายวีระบุตรสำเร็จความใคร่แล้วจำเลยที่ 3 ยังเข้าไปในห้องน้ำข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของนายวีระบุตรตามบันทึกคำให้การคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ของศาลชั้นต้น บันทึกคำให้การของผู้เสียหายดังกล่าวทำขึ้นหลังเกิดเหตุไม่นานนัก ในขณะที่ผู้เสียหายยังไม่ทันคิดบิดเบือนข้อเท็จจริง และข้อเท็จจริงตามคำให้การของผู้เสียหายยังเป็นเหตุให้พันตำรวจตรีสุทินดำเนินการขอออกหมายจับจำเลยทั้งสาม ต่อมาเมื่อได้ตัวจำเลยทั้งสาม จำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็ให้การรับสารภาพต่อพันตำรวจตรีสุทินว่าได้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตามบันทึกคำให้การ ซึ่งบันทึกคำให้การดังกล่าวจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะจำเลยที่ 3 ยังให้การอีกว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งคำให้การของจำเลยที่ 3 ไม่ได้มีลักษณะปัดความรับผิดให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 อันอาจทำให้น่าระแวงสงสัยแต่อย่างใด คำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ดังกล่าวมีรายละเอียดสอดคล้องรับกันกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย ทำให้บันทึกคำให้การของผู้เสียหายคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ของศาลชั้นต้น มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนจำเลยที่ 2 เองแม้จะให้การปฏิเสธ แต่ก็ยอมรับว่าพวกของจำเลยที่ 2 ได้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายรับกันกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเช่นเดียวกัน ดังนั้นแม้บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและของจำเลยที่ 1 และที่ 3 จะเป็นพยานบอกเล่า แต่ตามสภาพ ลักษณะแหล่งที่มาและข้อเท็จจริงแวดล้อมข้างต้นเมื่อรับฟังประกอบกันแล้วมีเหตุผลเชื่อมโยงสนับสนุนกันเป็นลำดับจึงเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226/3 และน่าเชื่อว่าเป็นความจริง ที่ผู้เสียหายเบิกความในทำนองว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดและอธิบายถึงเหตุที่ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าเป็นเพราะความโกรธนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายเคยกล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงและเหตุดังกล่าวมาก่อนทั้งที่มีโอกาสที่จะกระทำได้และหลังเกิดเหตุประมาณสามเดือน เมื่อผู้เสียหายไปเบิกความเป็นพยานในเรื่องเดียวกันนี้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ของศาลชั้นต้น ผู้เสียหายยังคงยืนยันว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย การที่ผู้เสียหายเพิ่งยกเรื่องที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดกับยกเหตุที่ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าเป็นเพราะความโกรธขึ้นกล่าวอ้างมีเหตุน่าเชื่อว่าสืบเนื่องจากผู้เสียหายได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากมารดาจำเลยที่ 1 และจากบิดาจำเลยที่ 2 จนเป็นที่พอใจแล้ว ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวของผู้เสียหายจึงส่อพิรุธและทำให้คำเบิกความของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาอ้างว่าบันทึกคำให้การของพลทหารอภิชลและนายวีระบุตรเอกสารคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ของศาลชั้นต้น เป็นพยานบอกเล่าซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีโอกาสถามค้านนั้น เห็นว่า หากบันทึกคำให้การของพลทหารอภิชลและนายวีระบุตรดังกล่าวไม่ถูกต้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2 สามารถอ้างและนำสืบพลทหารอภิชลและนายวีระบุตรเป็นพยานของตนได้ ข้อที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาอ้างจึงไม่มีเหตุผลให้รับฟัง พยานหลักฐานของโจทก์ฟังประกอบกันแล้วมีน้ำหนัก ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 นายสิทธิรัตน์ พลทหารอภิชลและนายวีระบุตร ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของตน เมื่อการข่มขืนกระทำชำเรามีลักษณะเป็นการโทรมหญิง การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง (เดิม)

พิพากษายืน.

( กรองเกียรติ คมสัน - เฉลิมเกียรติ ชาญศิลป์ - โสภณ โรจน์อนนท์ )
ศาลจังหวัดกำแพงเพชร - นายสมพร ฮี้เกษม
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 - นายสุรชัย พิริยชนานันท์
______________________________________________________
มาตรา 226/3 ข้อความซึ่งเป็นการบอกเล่าที่พยานบุคคลใดนำมาเบิกความต่อศาลหรือที่บันทึกไว้ในเอกสารหรือวัตถุอื่นใดซึ่งอ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาล หากนำเสนอเพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความนั้น ให้ถือเป็นพยานบอกเล่า
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า เว้นแต่
(1) ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้นน่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ หรือ
(2) มีเหตุจำเป็น เนื่องจากไม่สามารถนำบุคคลซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ และมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้น

ในกรณีที่ศาลเห็นว่าไม่ควรรับไว้ซึ่งพยานบอกเล่าใด และคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องร้องคัดค้านก่อนที่ศาลจะดำเนินคดีต่อไป ให้ศาลจดรายงานระบุนาม หรือชนิดและลักษณะของพยานบอกเล่า เหตุผลที่ไม่ยอมรับ และข้อคัดค้านของคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องไว้ ส่วนเหตุผลที่คู่ความฝ่ายคัดค้านยกขึ้นอ้างนั้น ให้ศาลใช้ดุลพินิจจดลงไว้ในรายงานหรือกำหนดให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นคำแถลงต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวน

ทนายความประชาชน
ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศฯ (ช ป.ท.)
hello! I am an admin of the People's Lawyer - Free Legal Consultation Club Nationwide (Chor.Por.T.A.) giving advice - like a relative - free of charge, call or add Line 089 214 2456
สวัสดี! ฉันเป็นแอดมินของทนายความประชาชน - ชมรมปรึกษาคดีฟรีทั่วประเทศฯ (ช.ป.ท.) ให้คำปรึกษา- ดุจญาติมิตร - ไม่คิดค่าใช้จ่าย โทร.หรือ แอดไลน์ 089 214 2456


X
STILL NOT SURE WHAT TO DO?
We are glad that you preferred to contact us. Please fill our short form and one of our friendly team members will contact you back.
Form is not available. Please visit our contact page.
X
CONTACT US