ค่าสินไหมทดแทนที่จำนวนเงินไม่แน่นอน

ผู้รับประกันภัยรถยนต์ได้จ่ายค่าซ่อมรถยนต์ที่จำเลยกระทำละเมิดแล้ว ผู้รับประกันภัยมีสิทธิรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาฟ้องไล่เบี้ยเอากันจำเลยได้ แต่จำนวนเงินที่จำเลยกระทำละเมิดต่อผู้เอาประกันภัยนั้นจะเป็นจำนวนเท่าใดก็ต้องมีการสืบพยานให้ศาลเชื่อว่าผู้เอาประกันภัยรถยนต์ได้เสียหายจริงจำนวนเท่าใดจึงเป็นกรณีที่ไม่อาจกำหนดจำนวนเงินได้โดยแน่นอน ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ ผู้รับประกันภัยรถยนต์ ส่งพยานเอกสารแทนการสืบพยาน จึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15139/2551

โจทก์บรรยายฟ้องโดยตั้งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่ บ. ขับและถูกจำเลยกระทำละเมิด โดยโจทก์ได้จ่ายค่าซ่อมรถยนต์ไปเป็นเงิน 41,526.97 บาท พร้อมดอกเบี้ย จึงรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยมาฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยผู้ทำละเมิด เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม กำหนดหลักเกณฑ์ให้ศาลปฏิบัติในการกำหนดจำนวนเงินตามคำขอบังคับของโจทก์ ดังนี้ (1) ในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอน ให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่ศาลเห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยาน และ (2) ในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินอันไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็น การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 41,526.97 บาท พร้อมดอกเบี้ยนั้น เป็นการอ้างเหตุว่าโจทก์รับช่วงสิทธิมาจากผู้เอาประกันภัยซึ่งถูกจำเลยกระทำละเมิด อันเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องมาจากเรื่องละเมิดและเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คำขอบังคับของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่ไม่อาจกำหนดจำนวนเงินได้โดยแน่นอน ตามมาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (2) ซึ่งบัญญัติให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็น หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอนตามมาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (1) ที่ให้อำนาจศาลมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่ศาลเห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยานไม่ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2548 ว่าเป็นกรณีโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอน อนุญาตให้โจทก์ส่งพยานเอกสารแทนการสืบพยาน จึงเป็นการไม่ชอบด้วยมาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (2) เป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในเรื่องพิจารณาคดีและการพิจารณาพยานหลักฐาน อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนคำพิพากษาและคำสั่งของศาลชั้นต้นได้ แม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ก็ตาม ทั้งนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบมาตรา 243 (2), 247

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 43,645.95 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 41,526.97 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า ในการนำสืบของโจทก์ โจทก์ส่งสำเนาใบกำกับภาษีในการจ่ายค่าซ่อมรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ให้แก่บริษัทธนบุรี ฮอนด้าคาร์ส์ จำกัด โดยไม่นำส่งต้นฉบับหรือขออนุญาตส่งสำเนาต่อศาล สำเนาใบกำกับภาษีดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ เมื่อพยานหลักฐานดังกล่าวของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นอีกต่อไป เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดี พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายและสั่งอนุญาตให้ผู้อุทธรณ์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง แต่ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาของโจทก์แต่เพียงว่า สำเนาให้จำเลยเพื่อคัดค้านภายใน 15 วัน หากไม่คัดค้านภายในกำหนด ถือว่าไม่ติดใจคัดค้าน และสั่งในอุทธรณ์ว่า โจทก์ยื่นอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยาย รับอุทธรณ์ของโจทก์ โดยมิได้สั่งอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา แต่การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ พอแปลได้ว่าศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง แล้ว

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องและหมายเรียกจำเลยมาแก้คดีอย่างคดีมโนสาเร่ ปรากฏว่าจำเลยได้รับหมายเรียกให้มาศาลแล้วไม่มาในวันนัดพิจารณา โดยมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาล กรณีจึงต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 ทวิ วรรคสอง (เดิม) ที่กฎหมายบัญญัติให้ถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การก่อนหรือในวันนัดพิจารณา ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การด้วย เมื่อโจทก์ได้มีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดแล้ว ศาลก็ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาคดีโดยขาดนัดไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 ทวิ วรรคสอง (เดิม) ประกอบมาตรา 198 ทวิ 204 และ 206 ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนแล้ว ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2548 ว่า ศาลชั้นต้นได้สั่งคำร้องของโจทก์ที่ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์ชนะคดีโดยขาดนัดว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เป็นจำนวนแน่นอน จึงอนุญาตให้โจทก์ส่งพยานเอกสารแทนการสืบพยาน ซึ่งหมายความว่า ในการกำหนดจำนวนเงินตามคำขอบังคับของโจทก์คดีนี้ศาลได้มีคำสั่งให้ปฏิบัติตามมาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (1)

คดีจึงมีปัญหาที่ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยก่อนว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาคดีโดยขาดนัดของศาลชั้นต้นดังกล่าว ศาลชั้นต้นปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม บัญญัติไว้หรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องโดยตั้งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน วณ-1134 กรุงเทพมหานคร ที่นายบรรดิษฐ์ขับและเป็นผู้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ซึ่งถูกจำเลยกระทำละเมิดโดยโจทก์ได้จ่ายค่าซ่อมรถยนต์ไปเป็นเงิน 41,526.97 บาท พร้อมดอกเบี้ย จึงรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยมาฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยผู้ทำละเมิด เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม กำหนดหลักเกณฑ์ให้ศาลปฏิบัติการกำหนดจำนวนเงินตามคำขอบังคับของโจทก์ ดังนี้ (1) ในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอน ให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่ศาลเห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยาน และ (2) ในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินอันไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็น การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 41,526.97 บาท พร้อมดอกเบี้ย นั้นเป็นการอ้างเหตุว่าโจทก์รับช่วงสิทธิมาจากผู้เอาประกันภัยซึ่งถูกจำเลยกระทำละเมิด อันเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องมาจากเรื่องละเมิดและเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คำขอบังคับของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่ไม่อาจกำหนดจำนวนเงินได้โดยแน่นอน ตามมาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (2) ซึ่งบัญญัติให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็น หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอนตามมาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (1) ที่ให้อำนาจศาลมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่ศาลเห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยานไม่ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2548 ว่าเป็นกรณีโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอน อนุญาตให้โจทก์ส่งพยานเอกสารแทนการสืบพยาน จึงเป็นการไม่ชอบด้วยมาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (2) เป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในเรื่องพิจารณาคดีและการพิจารณาพยานหลักฐาน อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนคำพิพากษาและคำสั่งของศาลชั้นต้นได้แม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ก็ตาม ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ประกอบมาตรา 243 (2), 247 เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า โจทก์มิได้ส่งต้นฉบับใบเสร็จรับเงินค่าซ่อมรถยนต์และใบกำกับภาษีตามเอกสารหมาย จ.11 ศาลจะรับฟังเอกสารหมาย จ.11 ซึ่งเป็นเพียงสำเนาเอกสารเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย

พิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้โจทก์ส่งพยานเอกสารแทนการสืบพยานตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2548 และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้รวมสั่งเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใหม่

( เฉลิมเกียรติ ชาญศิลป์ - บุญรอด ตันประเสริฐ - สนอง เล่าศรีวรกต )
ศาลแขวงพระนครเหนือ - นายสุธรรม จุลิรัชนีกร
ป.วิ.พ. มาตรา 195, 198 ทวิ(2) วรรคสาม, 223 ทวิ
มาตรา 198 ทวิ ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี โดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ เว้นแต เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายในการนี้ ศาล ยกขึ้นอ้างโดยลำพังซึ่งข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ของประชาชนก็ได้
เพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีตามวรรคหนึ่ง ศาลอาจสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้างอิงของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่น ไปฝ่ายเดียวตามที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้แต่ในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่ง สภาพบุคคล สิทธิในครอบครัวหรือคดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ ในอสังหาริมทรัพย์ ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียวและ ศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็นเพื่อ ประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ในการกำหนดจำนวนเงินตามคำขอบังคับของโจทก์ ให้ศาล ปฏิบัติดังนี้
(1) ในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงิน จำนวนแน่นอนให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่ศาล เห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยาน
(2) ในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินอัน ไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตาม ที่เห็นว่าจำเป็น
ถ้าจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การไม่มาศาลในวันสืบพยานตาม มาตรานี้ มิให้ถือว่าจำเลยนั้นขาดนัดพิจารณา
ถ้าโจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบตามความใน มาตรานี้ ภายใน ระยะเวลาที่ศาลกำหนด ให้ถือว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูล และให้ศาล ยกฟ้องของโจทก์

ทนายความประชาชน
ชมรมปรึกษาคดีฟรี ทั่วประเทศฯ (ช ป.ท.)
hello! I am an admin of the People's Lawyer - Free Legal Consultation Club Nationwide (Chor.Por.T.A.) giving advice - like a relative - free of charge, call or add Line 089 214 2456
สวัสดี! ฉันเป็นแอดมินของทนายความประชาชน - ชมรมปรึกษาคดีฟรีทั่วประเทศฯ (ช.ป.ท.) ให้คำปรึกษา- ดุจญาติมิตร - ไม่คิดค่าใช้จ่าย โทร.หรือ แอดไลน์ 089 214 2456


X
STILL NOT SURE WHAT TO DO?
We are glad that you preferred to contact us. Please fill our short form and one of our friendly team members will contact you back.
Form is not available. Please visit our contact page.
X
CONTACT US